000
ปรึกษาเครื่องเสียง อจ. ไมตรี โทร 099-569-6459    
 
บอร์ดพูดคุย, ซื้อ-ขายเครื่องเสียง
>> audio-teams.com
>> noom-hifi.com
>> wijitboonchoo.com
>> hifi55.com  
>> sk-audiophile.com
>> htg2.net
นิตยสารเครื่องเสียง
>> what Hi-Fi? Thailand
>> The Wave
>> Audiophile-Videophile
>> gm2000.com
>> The Stereo
ร้านค้าเครื่องเสียง
>> Piyanas Electric
>> KS Sons Group
>> Conice (บ้านทวาทศิน)
>> อัศวโสภณ
>> munkonggadget.com
>> bkkaudio.com
 
ปรับขนาดตัวหนังสือ เช่น 15, 16, 18, 20, + + / ยกเลิกใส่ 0 :

หมวดหมู่ > เครื่องเสียงรถยนต์ > บทความเครื่องเสียงรถยนต์ > เล่นอย่างพอเพียง ไม่โง่ฟุ่มเฟือย
วันที่ : 29/01/2016
61,399 views

เล่นอย่างพอเพียง ไม่โง่ฟุ่มเฟือย

โดย...อ. ไมตรี ทรัพย์เอนกสันติ

ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดจัดอย่างปัจจุบัน เงินหายากแต่ใช้ง่าย ต้องรู้จักบริหารเงินให้ได้ประโยชน์สูง ประหยัดสุด แน่นอน ผมไม่ได้กำลังชักชวนให้พวกเราเลิกเล่นเครื่องเสียงรถยนต์ ถึงอย่างไร เราก็คงขาดมันไม่ได้ โดยเฉพาะในภาวะแห่งสภาพการจราจรที่น่าเบื่อสุดๆ อย่างปัจจุบัน ถ้าต้องดักดันอยู่ในรถกับความเงียบ หรือกับเสียงที่ไม่เจริญหูของเครื่องเสียงที่มากับรถ ประสาทพาลจะกินเอาแน่ๆ มันคงหงุดหงิดสิ้นดี เผลอๆโมโหง่ายพาลไปมีเรื่องราวกับคันอื่นๆจะยิ่งไปกันใหญ่ การติดเครื่องเสียงรถจึงไม่ใช่ความฟุ่มเฟือยอย่างแน่นอน ถ้ากระทำอย่างชาญฉลาดและมีขอบเขตไม่เกินตัว หรือกำลังทรัพย์ของตนเอง

       ประหยัดสุด ทำอย่างไร ผมคงไม่ถึงกับแนะนำให้หาซาวด์อเบาท์หรือเครื่องเสียงพกพามาเสียบหูฟัง แม้ว่านั่นจะเป็นวิธีประหยัดที่สุดของที่สุด เพราะจะทำให้เสียทัศนะวิสัยของการขับขี่รถด้านเสียง อีกทั้งถ้ารถไม่เงียบสงัดจริง อุดมไปด้วยเสียงรบกวนสารพัดทั้งจากภายนอก(ที่ปิดผนึกได้ไม่ดีพอ), จากภายใน(เสียงเครื่องยนต์, เสียงช่วงล่างที่สั่นคลอน) ทำให้ต้องเร่งวอลลูมดังมากเพื่อหนีเสียงรบกวนเหล่านี้ ยิ่งไม่ได้ยินเสียงใดๆจากนอกรถเลย อันตรายมาก แถมมีสิทธิ์ทำให้หูหนวกด้วย

       ผมเคยเห็นรุ่นของเพื่อนซึ่งสมัยเขาสร้างตัว ยังเพิ่งจบใหม่ๆ ถอยรถเก๋งมือสองอายุ 10 ปีออกมาคันหนึ่ง(เหตุการณ์นี้ 30 ปีมาแล้ว) เขาหิ้ววิทยุ-เทปบ้านขนาดไม่ใหญ่นัก เอามาฟังในรถ ปกติก็ฟังวิทยุ จึงไม่กินถ่านนัก(วิทยุเครื่องนี้ใช้งานได้)มันก็โอเค ดีกว่าไม่มีฟังเลย

       ถ้าเป็นพวกรถตุ๊กๆ สมัยนั้น ก็จะเอาวิทยุใส่ถ่านของธานินทร์ที่ทำในนี้ (ไม่มีเทป) ผูกแขวนไว้กับพนักพิงด้านหลังของคนขับ ก็เพลินไปอีกแบบ

       จวบจนมาถึงปัจจุบัน เราคงไม่ต้องขี้เหีนยวกันขนาดนั้นแล้ว เพราะวิทยุเทปหรือวิทยุ-CD มีราคาถูกลงมาก เมื่อเทียบกับในอดีต 20 กว่าที่แล้ว วิทยุ-CD ใบ้ราคา 3 หมื่นกว่าบาท ซึ่งถือว่าแพงมาก วิทยุ-เทปบวกตู้ CD ต้องมีเกือบ 3 หมื่นบาท เพาเวอร์แอมป์ถูกสุดเกือบ 2 หมื่นบาท ลำโพง 6 นิ้วแยกชิ้น 2 ทางเริ่มที่หมื่นกว่าบาทขึ้นไป ซับวูฟเฟอร์ ดอกละหมื่นกว่าบาท(10 นิ้ว) แค่ฟังเพลงไม่มีระบบดูหนังก็ร่วมแสนบาทแล้ว(ซิงเกิ้ล ไม่ใช่ไบ-แอมป์ด้วย)

       แต่ทุกวันนี้ เมื่อสินค้าจากจีนแผ่นดินใหญ่จากไต้หวัน จากเกาหลี เริ่มครองโลก รวมทั้งยี่ห้อญี่ปุ่นที่จ้างจีน, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, รวมทั้งไทย ผลิต ล้วนทำให้เครื่องเสียงรถยนต์มีราคาถูกลงมาก ตัววิทยุ-CD ไฮเพาเวอร์, ราคาลงมากกว่า 3 เท่า ลำโพงแยกชิ้นลงมา 3 เท่า, เพาเวอร์แอมป์ลงมาประมาณ 2.5 เท่า ซับก็เช่นกัน ลงมา 3 เท่า นั่นหมายความว่า ชุดมีแอมป์จากเดิม 9 หมื่นบาท ปัจจุบันจัดได้ 3 หมื่นบาท

       เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อุปกรณ์เหล่านี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมากจนได้สุ้มเสียงและการใช้งานที่ดีกว่าเดิม 3 เท่า แต่ราคาเหลือ 1 ใน 3 ในอดีต ไม่ว่าตัววิทยุ-CD, ลำโพง, แอมป์ จึงไม่สงสัยเลยว่า ทำไมตลาดเครื่องเสียงรถยนต์จึงเติบโต 5-6 เท่าตัวเมื่อเทียบกับ 20 กว่าปีที่แล้ว และยอดขายของทุกยี่ห้อรวมๆกันน่าจะเกือบถึง 2 พันล้านบาทต่อปี (รวมทั้งติดมากับรถด้วย)

       ปัจจุบัน ใครๆจึงสามารถติดเครื่องเสียงรถยนต์ได้ไม่ยาก ด้วยงบประมาณเริ่มต้นไม่ถึง 1 หมื่นบาทก็ทำให้ดีได้แล้ว

จะประหยัดด้วยการซื้อของมือ 2 ใช้แล้วจะดีไหม

       เรียนตรงๆว่า เครื่องเสียงรถไม่เหมือนเครื่องเสียงบ้าน การถูกใช้งานในรถที่เต็มไปด้วยตัวทำลาย ไม่ว่าระบบไฟรถที่กระเพื่อมขึ้นลงไม่เคยได้อยู่ในร่องในรอย และเต็มไปด้วยคลื่นกวนจากภายนอกและไดชาร์จ การสั่นสะเทือนรุนแรง, ความร้อน, ความชื้น, ฝุ่นผง ย่อมบ่อนทำลายชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆภายในตัววิทยุ(ฟรอนท์)และปรีแอมป์, เพาเวอรืแอมป์ ให้เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วมาก จากสถิติพบว่า วิทยุ-CD รถมักมีอายุใช้งานได้แค่ 1 ปี 2 เดือนถึง 1 ปี 6 เดือน ก็จะพังที่กลไกการเล่น(สังเกตว่าเลยระยะเวลาประกัน 1 ปี) การนำมาซ่อมมักได้คุณภาพที่แย่ลงและใช้ได้อีกไม่นานก็เสียอีก อันนี้รวมทั้งวิทยุ-เทปด้วย

       ส่วนเพาเวอร์แอมป์ก็มักจะถูกใช้งานอย่างหนัก อย่าลืมว่าเวลาใช้งานจริง เพาเวอร์แอมป์รถเกือบทั้งหมดจะร้อนจัดมาก มากจนนึกได้เลยว่า อะไหล่ภายในจะเสื่อมลงอย่างรวมเร็วได้มากขนาดไหน ยิ่งเป็นการติดตั้งที่ไม่ถูกต้อง ติดแบบซุกๆยิ่งร้อนแทบลุกเป็นไฟ (ร้อน หมายถึง ขนาดติดตั้งดีๆ โล่งๆ ปกติ ถ้าเอานิ้วแตะที่ครีบระบายความร้อนนานเกิน 2 วินาที “เนื้อติด”!)

       เจอแบบนี้คงไม่ต้องบอกว่า เพาเวอร์แอมป์จะเสื่อมลงอย่างรวดเร็วขนาดไหน เหมือนเอามันไปปิ้งไฟทุกวันๆ คิดดุเอาเองก็แล้วกัน

       กรณีปรีแอมป์ ขนาดของใหม่ที่ขายๆกันในท้องตลาด 100 ยี่ห้อจะมีเสียงดีเป็นผู้เป็นคนแค่ 10 ยี่ห้อ แล้วเจอของเก่าซึ่งไม่มีโอกาสเลือก คิดว่าจะฟลุ๊กได้ยี่ห้อดี 1 ใน 10 หรือ! ปรีคุณภาพต่ำ ไม่ใช่ดีกว่าใช้ เผลอๆส่งคลื่นรบกวนจากภาคจ่ายไฟไปป่วนการรับวิทยุด้วย

       สุดท้ายคือลำโพง ถ้าคู่ไหนติดที่ประตูหน้า ก็รอดไปจากการถูกแดดเลียจนกรวย, ขอบ กรอบ โคมกรอบ(กรณีติดที่แผงหลังและเจ้าของรถไม่เอาใจใส่หาอะไรมาบังแดดเวลาจอดรถตากแดด) สังเกตว่า ลำโพงเก่าบางคู่ถูกแดดส่องจนซีด ลำโพงเก่าจึงต้องดูให้ดีๆ ซึ่งก็น่าจะพอดูออก ของสภาพดีกับของสภาพ “กรอบ”

       ในกรณีของวิทยุ, ปรี, เพาเวอร์แอมป์ ถ้าใช้อยู่ปกติแล้วถอดมากองเก็บไว้เป็นปี ไม่ใช้เลย ตัวเก็บประจุบนแผงวงจรนับสิบๆนับร้อยๆจะฝ่อ แห้งหมด เป็นอันว่า สุ้มเสียง แห้ง, แข็ง, เกร็ง, ทุ้มหาย(ห้วนแข็ง), แหลมหุบ

       ของเก่าจึงไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย เชื่อไว้อย่าง ถ้าของดีไม่มีใครเขาอยากรื้อเข้ารื้อออกมาขายทิ้งหรอก มันแทบไม่ได้ราคาอยู่แล้ว นอกจากว่าของนั้นเก่ามาเก่าไปหรือ มีปัญหาซ่อมมา เสียมา เละมา

       นอกจากว่า พิจารณาแล้ว เป็นของใหม่ถอดจากรถป้ายแดง เพราะเจ้าของลงชุดเครื่องเสียงใหม่(ที่ดีกว่า) ซึ่งสภาพที่เราดูก็จะดูออกได้ไม่ยากว่า ใหม่จริง แต่ก็อย่างว่า ถ้าของดีเขาคงไม่ถอดขายให้โง่

       หรือ เป็นของเก่าที่เพื่อนใช้อยู่ แล้วเราขอเซ้งมาลงรถเราทันที นั่นก็อีกเรื่อง อาจได้ของดีราคาถูกจริง

       ของเก่าจากนอก(ญี่ปุ่น)ล่ะ ก็อีหรอบเดียวกัน ไปดูเถอะว่า พวกถอดออกมาจากซากรถที่จอดตากลม, หิมะ, ฝน, ฝุ่น บางทีได้ไอเค็มจากน้ำทะเล พวกนี้กัดแผงวงจรผุกร่อนหมด ถึงซ่อมก็ยาก ไม่นานก็เสียเพราะมันผุแบบกินในเนื้อแล้ว

       ถ้าจะซื้อตามบ้านหม้อ, คลองถม, มาบุญครอง แม้จะเป็นของใหม่ แต่แน่ใจหรือว่า ไม่ใช่ของขโมยมา(ก็เด็กหน้าร้านของร้านติดตั้งนั่นแหละ ขโมยออกมากัน เถ้าแก่ไม่รู้เรื่อง) หรือของ “จำนำ” โดยพวกร้อนเงินไปซื้อของเงินผ่อนแล้ว เอามาขายต่อแบบขาดทุนเพื่อได้เงินไปใช้ โดยกะว่าไม่ผ่อนต่อหรืออาจผ่อนต่อ ซึ่งเจ้าของสินค้าก็ยังเป็นบริษัทเงินผ่อนอยู่จนกว่าผู้ซื้อจะผ่อนหมด คุณหลงไปซื้อของนี้เข้าก็เข้าข่ายยักยอกทรัพย์ บ่อยๆที่ร้านขายนั่นแหละซื้อคืนกลับมาขายอีกครั้งเอง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมผู้นำเข้า(เอเย่นต์) ไม่หาทางแก้ เช่นการพิมพ์ที่ใบรับประกันห้ามเปลี่ยนร้าน ใบเสร็จต้องมาพร้อมใบรับประกันและชื่อร้านขายตรงกัน หรือร่วมมือกับบริษัทเงินผ่อนในการจัดทำลงทะเบียนหลายเลขเครื่องว่า ซื้อผ่อนที่ไหน เมื่อไร ร้านไหนขาย คิดได้อย่างเดียวเลยว่า ที่เอเย่นต์ไม่ขวนขวายรักษาผลประโยชน์ให้ลูกค้าผู้บริโภคก็เพราะ ตั้งใจจะมั่ว เทสินค้าลงคลองถม, บ้านหม้อ เวลาหน้ามืดร้อนเงิน ไม่สนว่าจะกระแทกระบบขายส่งของตนเอง ร้านค้าปลีกเดือดร้อน เป็นกันหมดทั้งเครื่องเสียงบ้าน เครื่องเสียงรถ

       พูดง่ายๆว่า ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง อยากแนะนำให้ซื้อของใหม่ จากร้านติดตั้งมากกว่า เพราะพวกนี้จะต้องติดตั้งให้เรา เขาต้องรับผิดชอบเป็นด่านแรกอยู่แล้ว นอกจากนั้น ถ้าเราไม่ได้ซื้อกับเขา หอบหิ้วไปให้เขาติด(จ้างติด) เกิดของเสีย, มีปัญหา เขาจะไม่รับผิดชอบ หรือคุยกันไม่รู้เรื่อง ต่างฝ่ายต่างอ้างว่า ตนเองไม่ผิด ร้านติดตั้งก็จะว่าเราไปซื้อของมีปัญหามา ผู้ซื้อไม่เข้าใจ ก็จะบอกว่า ร้านติดตั้งไม่ดีจนของเสียหาย จบยากแน่ ถึงติดแล้วไม่มีปัญหา แต่เสียงออกมาไม่ได้เรื่อง จะโทษว่า ร้านจัดให้ไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะหอบหิ้วมาให้เขาติดเอง ไม่ได้ให้ร้านจัดให้

              นี่ไม่ใช่วิธีประหยัดที่แท้จริงแน่

       วิธีที่ดีที่สุด จงซื้อของใหม่ แต่ประหยัดด้วยการเลือกชุด, อุปกรณ์ที่คุ้มค่า สมราคาที่สุด เข้าทำนอง BEST BUY หรือคุณภาพเกินตัว อย่าคิดแต่ประหยัดด้วยการวัดจากจำนวนเงินที่ควักออกไปอย่างเดียว ที่ถูกต้องคือต้องวิเคราะห์ด้วยว่า จ่ายไปแล้วได้คุณภาพกลับมาคุ้มค่าไหม ทั้งคุณภาพของ คุณภาพการติดตั้ง ถ้าเราจัดชุดได้ดี ลงทุนทั้งชุด 15,000 บาท ติดตั้งร้านที่เป็นงานเน้นคุณภาพการติดตั้งอาจจะสูงกว่าบางร้านที่ติดชุ่ยๆอยู่สัก 1-2 พันบาท แต่เม็ดงานที่ออกมา กระแทกชุดละ 5-6 หมื่นบาทให้ได้อาย อย่างนี้ต่างหากที่เป็นการประหยัดอย่างเอกอุ คุณไม่ต้องจ่ายถึง 6 หมื่นบาท แต่จ่ายเพียง 15,000 บาท นี่ต่างหากคนที่ใช้เงินเป็น คนที่ไม่ยอมใช้เงินเลย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ใช้เงินเป็นไม่ใช่หรือ

       ติดตั้งตามร้านที่ขาดประสบการณ์ ทำรถเราเสียหาย บางทีร้านไม่บอก(เด็กติดตั้งกลัวผิด) ก็ซุกๆปัญหาเอาไว้ไม่บอกเรา กว่าจะรู้ทีหลัง เวลาก็ผ่านไปเป็นเดือน คงไม่มีร้านไหนจะมามัวรับผิดชอบให้แล้ว เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าเราไปทำผิดพลาดเองหรือเปล่า(เช่นพวกรอยงัดแงะ, น๊อตหาย, จุกลูกยางไม่ครบ ประกอบคืนกลับแล้วไม่เหมือนเดิม ฯลฯ

       จงอย่าประหยัดด้วยการเลือกแค่ร้านที่ติดตั้งถูกๆ ขายของถูกๆลูกเดียว น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า!

       อย่างที่เรียนให้ทราบ ชุดที่แพงที่สุด คือ ชุดที่ติดตั้งแล้ว ไม่ได้คุณภาพสมอย่างที่หวัง ยิ่งถ้างบจำกัดอยู่แล้ว มาเจอร้านหลอกขายของ ใช้ของแพงกว่าโดยไม่จำเป็นแถมคุณภาพแย่กว่า นึกว่าโชคดี มาเจอร้านขายของถูกกว่า หารู้ไม่ว่า อาจไม่จำเป็นต้องเล่นวิทยุนุ่นั้นๆยี่ห้อนั้นๆ สู้หารุ่นเล็กกว่า หรือยี่ห้ออื่นที่ถุกกว่าแต่ดีกว่าไม่ได้

       ตัวอย่างการเลือกฟรอนท์(วิทยุ-เทป. วิทยุ-CD)

พูดตามตรงแบบไม่เกรงใจใคร วิทยุ-เทป มักให้เสียงที่ “น่าฟัง” กว่าวิทยุ-CD ด้วยเหตุผลง่ายๆ กลไกการเล่นเทป อ่อนไหวต่อสิ่งรบกวนภายนอก, ภายใน น้อยกว่ากลไกการเล่น CD มากมายนัก ไม่มีปัญหาเสียงแบบฟุ้ง เวทีเสียงถอยจมเวลารถวิ่งเร็ว(สั่นมากขึ้น, กระเทือนมากขึ้นหรือติดตั้งวิทยุหน้าเชิดเกินไป) ไม่มีระบบดิจิตอลที่จะไปรบกวนการรับวิทยุ(ทั้งการรับและสุ้มเสียง) ไม่มีระบบปรับเสียงดิจิตอล(DSP)ใดๆ ที่จะป่วนภาคขยายเสียงอนาลอก ไม่มีช่องรับสัญญาณดิจิตอลสารพัด ไม่ว่าจาก iPad, จาก Bluetooth(โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่น MP3, จาก USB/การ์ดความจำ) ช่องรับพวกนี้รับคลื่นขยะความถี่สูงในอากาศมาป่วนคุณภาพเสียงทั้งนั้น

       ทำไมไม่คิดที่จะบันทึก CD ลงเทปคาสเซทแล้วเอามาฟังในรถ ใครทำได้ ลองดูเถอะ แล้วคุณจะไม่อยากกลับไปฟัง CD ในรถอีกเลย!!

       แน่นอน เวลานี้ใครๆก็มองว่า วิทยุ-เทปตกยุคไปแล้ว นั่นหมายความว่า มันจะราคาถูกมาก เครื่องบันทึกเทป(2 หลุมด้วย) บ้านหม้อขายกันแค่สามพันกว่าบาท เครื่องเล่น DVD บ้านก็เอามาเล่น CD ถ่ายลงเทปได้ ขอแต่ให้รู้วิธีบันทึกเสียงที่ถูกต้องเท่านั้น(ซึ่งก็ไม่ยากนักหนา)

       ลำโพงก็เหมือนกัน ตอนนี้ตลาดเฮไปยังลำโพงแยกชิ้น ทำให้เหลือลำโพง 6x9 รวมชิ้น ซึ่งเอเยนต์มักขายถูกกว่าที่ควรจะเป็น มีลำโพงรูปไข่ 6x9 รวมชิ้นดีๆที่มีชื่อและให้เสียงดีกว่าลำโพงแยกชิ้นในราคาพอๆกันอยุ่มาก อย่าลืมว่าผู้ผลิตลำโพง 6x9 เองก็ตัดราคาขายลง เอเย่นต์นำเข้าก็ตัดราคาขายลง การผลิต 6x9 ใช้วัสดุน้อยกว่าลำโพงแยกชิ้นและด้วยปริมาณของพื้นที่ผิวกรวยที่มากกว่าของ 6x9 จึงมักให้เสียงทุ้มที่มากกว่าแยกชิ้น 6x9 มักไม่แยกกล่องแบ่งเสียง และใช้อุปกรณ์แบ่งเสียงน้อยชิ้นมาก บางครั้งใช้แค่ตัวเก็บประจุตัวเดียว และไปเอาดีตรงดอกลำโพงให้ดีไว้ก่อน ผลคือ การกินวัตต์ที่ต่ำกว่าลำโพงแยกชิ้นส่วนใหญ่ในท้องตลาด(ที่มักต้องคงอุปกรณ์บนแผงวงจรแบ่งเสียงไว้เยอะๆ ไม่อย่างนั้นขายไม่ได้ราคา ทั้งๆที่ยิ่งมาก อุปกรณ์ยิ่งกินวัตต์)

       ลำโพง 6x9 รวมชิ้นจึงมักเปิดได้ดัง กระหึ่มรถโดยไม่จำเป็นต้องใช้เพาเวอร์แอมป์ภายนอก วิทยุอาจใช้แค่ 45 WX 4 CH ก็พอ

       ถ้าเป็นรถเก๋ง ซึ่งมีกระโปรงหลัง วิธีที่จะได้เสียงกระหึ่ม ทุ้มอิ่ม เสียงทุ้มกลางแหลมกลมกลืนกันที่สุด ต้องติดตั้งลำโพง 6x9 รวมชิ้นที่แผงหลังเท่านั้น(ไม่ต้องสนใจพวกปากหอยปากปูที่เอะอะอ้างว่า เสียงต้องอยู่ด้านหน้า เหมือนเราไปฟังการแสดงดนตรี) พูดไปก็ยาวหลายหน้า เอาเป็นว่า ติดตั้งดีๆ แม้ลำโพงอยู่หลังก็จะให้อรรถรสที่เพลิดเพลินได้ อย่างอิ่มมหึมา โดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อเพาเวอร์แอมป์ หรือซับวูฟเฟอร์(ถ้าไม่ฟังกันแบบตูมตาม ก็จะประหยัดไม่ใช่หรือ) ร้านมักไม่อยากแนะนำ เพราะอดขายปรีแอมป์, เพาเวอร์แอมป์, ซับ, สายสัญญาณ, สายไฟ(อย่าลืมให้ร้านตีแผงหลังใหม่ หนา แข็งแรง เอียงยิงเสียงมาหน้า และตีแผงใหญ่ปิดหลังเบาะหลัง ไม่ให้เบาะดูดเบสจนหมด) ร้านมักไม่อยากมานั่งตีแผง 3-5 ชั่วโมง ได้เงินแค่ 3,000 บาทค่าแผง หักค่าแรงแทบไม่เหลือ สู้ปล่อยให้เบาะหลังดูดเบสไปเยอะๆไม่ได้ จะได้ขายโน่นนี่ได้อีกหลายหมื่นบาท

       อยากประหยัด ก็อย่าโง่กว่าร้านติดตั้ง หรือหลงคารานักวิจารณ์บางคนที่เอี่ยวกับร้านติดตั้ง พยายามให้ร้านในสังกัดของตนได้ขายของเยอะๆ

       อยากประหยัด ก็อย่าโง่กว่าเขา

       ความคิดเรื่องการติดตั้งลำโพง 2 คู่ นี่ไม่ใช่การประหยัดแน่ๆ จ่ายคู่เดียวยังไงก็จ่ายน้อยกว่า 2 คู่ ฟังลำโพง 2 คู่ เสียงจะตีกัน ทะเลาะกัน(กรณีต่างยี่ห้อ, ต่างรุ่น) ถึงแม้จะรุ่นเดียวกัน แต่ติดตั้งในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันอยู่แล้ว แน่นอน เสียง, มิติย่อมต่างกัน ผลคือ เสียงตีกันเองมั่วไปหมด

       เราอาจบริหารกำลังขับของวิทยุ โดยการใช้กับลำโพงที่ต่อไบ-ไวร์ได้(ถ้าใช้ไม่ได้ ลองดูว่าจะดัดแปลงตัดต่อได้ไหม) เพื่อใช้กำลังขับคู่หน้าวิทยุขับชุดแหลม และกำลังขับคู่หลังขับดอกกลางทุ้ม เป็นการขับแบบไบ-แอมป์ ได้ใช้กำลังขับครบทั้ง 4 CH ของวิทยุไม่สูญเปล่า เสียงจะอิ่ม, แน่น, หลุดลอยมากขึ้น การมั่วลดลง แม้คนที่ชอบฟังดังก็อาจถูกใจไม่คิดควักเงินซื้อเพาเวอร์แอมป์เพิ่มอีก อย่าลืมว่า การต่อไบ-แอมป์จะเสมือนกำลังขับเพิ่มถึง 4 เท่า(ความรู้สึกของ “การฟัง”ไม่ใช่ตัวเลขการวัด) นั่นคือวิทยุกำลังขับ 50WX 4 CH ก็จะเสมือนว่า เรากำลังฟังลำโพงคู่นั้นถูกขับด้วยกำลังขับ 200W/CH (เป็นกำลังขับแบบสวิงสูงสุด ตามสเปคของวิทยุ)

       อีกกรณีของการเพิ่มพลังให้แก่วิทยุไฮเพาเวอร์คือ ตัดสายไฟที่มากับวทิยุให้สั้นและแทนด้วยสายไฟดีๆ ขนาดใหญ่ เบอร์ 4 (ใหญ่ขนาดน้องๆนิ้วก้อย) เดินทิศทางให้ถูกต้อง(ต้องฟังเอา) ทั้งสายบวกและลบ รวมทั้งสายลบสั้นๆจากแบต(ลบ) ลงดินก็เปลี่ยนเหมือนกัน(อย่าพ่วงเบิ้ล 2 ทบ) จะทำให้วิทยุไฮเพาเวอร์เสียงอิ่ม แน่นขึ้นได้ถึง 25-30% ทีเดียว สายไฟพวกนี้ใช้ไม่เยอะ ประมาณ 2 เมตรกว่า เป็นการลงทุนน้อย แต่ได้ผลกลับมาเกินคุ้ม

       แบตเตอรี่รถก็เหมือนกัน ถ้ารถใช้มาเป็นปีแล้ว ควรเปลี่ยนแบตใหม่เช่น PANASONIC รุ่นสูงสุดเป็นแบตแห้ง(ประมาณ 2300 บาท) จะช่วยให้เสียงอิ่มแน่นขึ้น สุ้มเสียงดีขึ้นถึง 30% ได้ทีเดียว

       เล่นไบ-แอมป์ อย่าหลงประเด็น กรณีที่อยากเล่นไบ-แอมป์จริงๆพร้อมซับวูฟเฟอร์ ถ้าเราไม่ใช่ประเภทเปิดเสียงเบสตูมตามจนรถโป่ง อยากได้แค่เบสลงลึกๆอิ่มๆแน่นๆก็พอ จำไว้ว่าแทบไม่มีความจำเป็นต้องหาเพาเวอร์แอมป์กำลังขับสูงๆเกินกว่า 100-120 w.RMS(ที่ 4 โอห์ม)มาขับก็เหลือเฟือ โดยหาซับที่ความไว 89 dB SPL/w/m ขึ้นไปมาใช้ก็ให้เบสได้อิ่มลึกแน่นอยู่แล้ว จริงๆแล้วถ้าปรับแต่งไบ-แอมป์ถูกต้อง ซับจะออกเสียงแค่ “ฮึมๆ” เบาๆเท่านั้น มีเหมือนไม่มี(ถ้าฟังแต่ซับ) แต่ถ้าฟังครบทั้งระบบและตัดซับออก จึงจะเห็นผลว่าซับช่วยได้จริง ซับไม่มีหน้าที่ให้เบสตรงๆ เป็นได้แค่ “ฐาน” เบส(เบสลึกๆ 50 Hz ]งมา) ด้วยวิธีนี้เราจะประหยัดค่าเพาเวอร์แอมป์กำลังขับสูงๆได้มาก บ่อยๆที่ร้านติดตั้งยัดเยียดให้ได้ซับ 150-200 w.RMS(ที่ 4 โอห์ม) แต่เปิดใช้งานจริงเร่งแค่ 7 นาฬิกา ต่ำกว่าครึ่งตั้งเยอะ

       ในแง่ของกลางแหลมก็เช่นกัน ถ้าไม่ฟังดังจนรถโป่ง จริงๆแล้ว หาลำโพงกลางแหลมที่ความไวสัก 90 dB SPL/w/m ขึ้นไป ขับด้วยกำลังขับภายในตัววิทยุสัก 50 w/CH ก็พอเพียงแล้วโดยไม่จำเป็นต้องหาเพาเวอร์แอมป์นอกมาขับกลางแหลม ยิ่งถ้าต่อแบบไบ-แอมป์ให้กลางแหลมดังที่แนะนำตอนต้น ยิ่งเหลือเฟือ หรือกรณีรถเก๋ง ติดลำโพงกลางแหลมที่แผงหลัง(ตีแผงเต็มสตูร มีแผงปิดหลังเบาะหลัง) ยิ่งเลิกคิดได้เลยเรื่อง   แอมป์นอกขับกลางแหลม

       สำหรับลำโพงซับก็ใช้แค่ 10 นิ้ว ไม่จำเป็นต้องใหญ่กว่านี้ เพราะโดยทั่วไปปกติ สรีระของรถจะจำกัดความถี่ต่ำให้ลงได้ไม่ลึกนักอยู่แล้ว ถึงใช้ดอกซับใหญ่กว่า 10 นิ้วก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย แถมกรวยเคลื่อนตัวอุ้ยอ้ายกว่า ทำให้ตามดอกกลางแหลมไม่ค่อยทัน เสียงจึงไม่กลมกลืน เหมือนเบสไม่เป็นลูก ไม่มีน้ำหนัก(โหว่งๆ กลวงๆ) ยิ่งเร่งดังยิ่งเละ ดอกซับใหญ่แต่ตีตู้เล็ก เบสก็ลงไม่ลึกอีก เลยไม่รู้จะใช้ดอกใหญ่ๆไปทำไม

       นอกจากนั้น ใช้ดอกซับดอกเดียวก็พอ ขับด้วย CH ข้างเดียวของแอมป์ขับซับทิ้งอีก CH ไว้ ห้ามนำ 2 CH  มาบริดจ์โมโนขับซับ เบสจะยานคราง เบลอ ฟุ้ง ไม่คมกระชับ ทำให้เหมือนไม่มันส์

       ถ้าเป็นรถเก๋ง ดอกซับ 10 นิ้วตีแขวนลอยกับแผงหลัง(แผงตีเต็มสูตร)ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินค่าตู้อีก กระโปรงหลังเป็นตู้ที่ดีเกินพออยู่แล้ว(โดยทั่วๆไป) ถ้าดอกซับไม่เลวจนเกินไป

       มีกรณีที่น่าสนใจและเอเย่นต์ชวนให้ผู้บริโภคหลงประเด็น

โดยการโฆษณาชวนให้ผู้บริโภค คงวิทยุที่มากับรถเอาไว้ แล้วเพิ่มเพาเวอร์แอมป์, ลำโพงกลางแหลม ลำโพงซับ เข้าไปแล้วคุยว่า จะทำให้ชุดเครื่องเสียงเดิมออกมาไฮเอนด์ได้

       จริงๆมันก็อาจะดีขึ้นในบางแง่ เช่น เปิดได้ “ดัง”ขึ้น “ตูมตาม” มากขึ้น แต่ไม่หมายความว่าจะ “ดีและน่าฟัง” ขึ้น

       ชุดเครื่องเสียงไม่ว่าบ้านหรือรถ ต้นน้ำสำคัญที่สุด ไม่ต้องดูที่อื่นไกล ดูง่ายๆใกล้ๆในรายการวิทยุ สังเกตไหมว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตอนที่โฆษกหรือวิทยากรหรือดีเจพูด เสียงจะดีกว่าฟังจากแผ่น CD เป็นเท่าตัว ยิ่งถ้าได้ห้องดี, ไมโครโฟนดีๆอย่างที่สถานี ข.ส.ท.บ. FM 102 รายการ INSIDE AV ที่ผมเป็นวิทยากรทุกวันสร์ 14:00-16:00 น. เครื่องเสียง-ภาพบ้านและรถ ซึ่งเขาใช้ไมโครโฟนตัวละแสนกว่าบาท กับบางสถานีดังไมโครโฟนตัวละพันกว่าบาท เสียงพูดจากข.ส.ท.บ.จะฟังดีมากๆ

       หรือเวลาเราเปลี่ยนแผ่น CD เพลงไทยที่บันทึกชุ่นสุดๆ มาเป็นแผ่น CD นอกที่บันทึกระดับหูทอง คุณภาพเสียงสุดท้ายที่ได้จากลำโพงต่างกันสวรรค์กับนรกทีเดียว

       เห็นหรือยังว่า หัว(ต้นน้ำ) สำคัญสุดยอดขนาดไหน

       จึงป่วยการที่จะเสียเงินกับเพาเวอร์แอมป์, ลำโพง ต่อให้ดีแค่ไหน อย่างเก่งก็แค่ขยาย เสียงเน่าๆจากหัวที่แถมมากับรถ ให้ได้รับรู้ “ความเน่า” โจ่งแจ้งขึ้นเท่านั้น ไม่มีทางไปปรับปรุงอะไรให้ดีหรือถูกต้องขึ้นได้...... ไม่มีทางทั้งชาตินี้และชาติหน้าไหนๆ

       ขอความกรุณาคนในวงการเดียวกัน อย่าพาผู้บริโภคเข้าป่าออกทะเลเลย ที่ถูกต้องคือ ถ้าฟรอนท์นั้นไม่ดี(ส่วนใหญ่บริษัทรถไม่เคยให้ฟรอนท์ดีจริงให้หรอก) ก็ควรเอาเงินมาเปลี่ยนฟรอนท์ก่อน ถ้ามีงบเหลือก็เปลี่ยนลำโพงที่ให้มาด้วย เพาเวอร์แอมป์, ไบ-แอมป์, ซับ ควรเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเสียเงิน เพราะอาจไม่ต้องเสียด้วย(ดังที่กล่าวข้างต้น)

       วงการเครื่องเสียงรถยนต์เป็นอย่างนี้จริงๆ คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาดเสมอ

       ขอจงจำให้ขึ้นใจว่า การจัดชุดจากผู้ที่รู้จริง และมีคุณธรรม ความจริงใจ จะช่วยประหยัดให้เราได้อย่างนึกไม่ถึง ไม่อายเพื่อนฝูงด้วย คุณจะลดรายจ่ายที่ไร้สาระ, ไม่จำเป็นลงได้เป็นเท่าๆตัว ไม่ควรตัดสินเลือกร้านติดตั้งโดยพิจารณาแต่ราคาที่ถูกกว่า ให้ของมากชิ้นกว่า ระบบเสียงหรูหรากว่า ให้ยี่ห้อดังมาด้วย มันไม่ใช่ทั้งนั้น ในเรื่องของเครื่องเสียง

       ยิ่งน้อยชิ้น ยิ่งลัดตรง เสียงจะยิ่งดี ยิ่งน่าฟัง

       อย่าหลงซื้อขยะราคาแพงมาหนักรถ เปลืองน้ำมัน

              ในกรณีเลือกร้านติดตั้งก็เช่นกัน อย่ามองแต่ “เปลือก” ที่คุยว่าเก่าแก่นับสิบๆปี หรือร้านหรูใหญ่โต ออกงานบ่อย ได้รางวัลโน่นนี่(ประเภทให้ฝรั่งติด ให้ฝรั่งจูนก็มี เพราะตัวเองไม่มีกึ๋นส์) ร้านวางฟอร์มแต่ฝีมือกลวงประเภทนี้มีเยอะ ดีๆก็มี แต่น้อยมาก อย่าดูถูกร้านเล็กๆไร้ชื่อโด่งดังแต่ฝีมือดี ร้านเล็กๆติดชุ่ยก็มากมายมหาศาล สรุปคือ อย่ามองแค่ “เปลือก” มิเช่นนั้นจะ เสียค่าโง่ เสียเงินทั้งทีมีชุดไว้ประจานความโง่ของตัวเอง

www.maitreeav.com

www.maitreeav.com
สำนักงาน : 313/129 ซ. เคหะร่มเกล้า 64 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ 10520
โทร. 081-5500269 , 099-569-6459